การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในเวทีโลกด้วยนวัตกรรม ถือเป็นภารกิจสำคัญที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โครงการ “Thai Kitchen 2025” ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว โดยมุ่งปฏิวัติวงการผ่านการเร่งสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) งาน Open House ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดตัวโครงการ ได้เผยให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ปรัชญาการดำเนินงานอันเป็นเอกลักษณ์ และพลังของระบบนิเวศที่ NIA เตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ และนำพาอาหารไทยไปสร้างชื่อเสียงและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดโลก

วิสัยทัศน์และพันธกิจของ NIA ในการขับเคลื่อน Thai Kitchen

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การจัดงาน Thai Kitchen 2025 Open House เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมด้านอาหาร และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเร่งให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผ่านกิจกรรมอบรมแบบลงมือปฏิบัติการจริง และการจับคู่ธุรกิจเชิงกลยุทธ์กับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ แนวทางนี้สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น “ครัวของโลก” และยังเป็นการต่อยอดทางธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารไทยที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสนับสนุนนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล โดยอ้างอิงถึงมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมอาหารในปี 2566 ที่สูงถึง 4 ล้านล้านบาท

NIA ในฐานะ “Focal Conductor” หรือผู้เชื่อมโยงและขับเคลื่อนหลัก มีบทบาทในการเชื่อมโยงให้เกิดการส่งเสริมธุรกิจด้านอาหาร ผ่านกลไกการดำเนินงานของสำนักงานฯ คือ Groom (การอบรมบ่มเพาะ), Grant (การให้ทุนสนับสนุน), Growth (การพัฒนาองค์ความรู้ กลยุทธ์ธุรกิจให้ตอบโจทย์ตลาด) และ Global (การขยายโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศ)

 

เทคโนโลยีอาหาร หรือ FoodTech เป็นหนึ่งในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ NIA ให้ความสำคัญ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้แผนงานโครงการมุ่งเป้าธุรกิจนวัตกรรมด้านอาหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้อุตสาหกรรมอาหารไทย

NIA ตั้งใจให้ Thai Kitchen เป็นพื้นที่ แพลตฟอร์ม และเวทีกลาง ที่ช่วยในการบ่มเพาะ สนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการ FoodTech ให้สามารถเติบโตได้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือทางการตลาด การวิเคราะห์กลยุทธ์ต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมสู่ตลาดสากล การให้คำปรึกษาแบบเฉพาะเจาะจง (Tailor-made Mentoring) จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั้งด้านอาหาร เทคโนโลยีการผลิต การตลาด การส่งออก รวมถึงการพัฒนาแบรนด์ (Branding) และการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน พร้อมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อ นักลงทุน และเครือข่ายพันธมิตร และที่สำคัญคือ โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรม ซึ่งทางสำนักงานฯ สนับสนุนเงินทุนสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

ในปีนี้ โครงการตั้งเป้าในการรับผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม หรือ IBE (Innovation-Based Enterprise) ด้านอาหาร ที่มีรายได้แล้ว จำนวน 10 ราย ซึ่งมีความพร้อมจะเรียนรู้เพื่อเติบโตขยายไปยังตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ โดยผู้ประกอบการทั้ง 10 รายนี้จะต้องมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีศักยภาพเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านอาหารใน 3 สาขา ได้แก่ 1) อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง 2) อาหารและผลไม้ไทยมูลค่าสูง และ 3) อาหารแห่งอนาคต (Future Food) โครงการ Thai Kitchen จึงเป็น Accelerator Program หรือ Incubation Program ที่สำคัญในการกระตุ้นธุรกิจอาหารไทยให้ไปไกลสู่เวทีโลกด้วยนวัตกรรม

 

Crafting Success

ดร.สุรอรรถ ศุภจัตุรัส รองผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ด้านเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงโอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยชี้ว่าแม้ปัจจุบันไทยจะมีการส่งออกอาหารที่เติบโตสูง (ประมาณ 7%) แต่สินค้าอาหารที่ไทยส่งออกส่วนใหญ่ยังมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Food) ทั่วไป ท่านจึงตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกอาหารของประเทศไทยให้สูงขึ้นได้ คำตอบสำหรับเรื่องนี้มีเพียงแนวทางเดียว คือการสร้างสรรค์อาหารที่เน้นนวัตกรรม

NIA ได้มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมอาหารในหลายด้านหลัก ได้แก่:

  • อาหารพื้นถิ่น: ยกระดับด้วยนวัตกรรม เช่น การยกระดับอาหารพื้นถิ่นของไทย โดยเมื่อส่งออกไปแล้วยังคงรสชาติต้นตำรับ ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังสามารถเพิ่มมูลค่า และทำให้ผู้บริโภคยังคงระลึกถึงแหล่งที่มาของอาหารนั้นๆ ได้ อาทิ จังหวัดอ่างทอง เพชรบุรี หรือเชียงใหม่
  • อาหารพรีเมียม (Premium Food): คืออาหารที่มีมูลค่าสูง มีความโดดเด่น อาจไม่จำเป็นต้องมีนวัตกรรมที่ซับซ้อนมากนัก แต่ต้องมีคุณค่า ความโดดเด่น และความเป็นพรีเมียม ซึ่งเหมาะสำหรับตลาดส่งออกที่อาจยังไม่เปิดรับนวัตกรรมอาหารในระดับสูงมากนัก
  • อาหารมูลค่าสูงเชิงลึก (Extremely High Value): คือกลุ่ม Novel Food, Functional Food หรืออาหารที่ใช้นวัตกรรมเชิงลึก (Deep Tech) เป็นตัวขับเคลื่อน

ดร.สุรอรรถ ได้อธิบายถึงความแตกต่างของ Thai Kitchen เมื่อเทียบกับโครงการบ่มเพาะ (Incubator) อื่นๆ ที่มีอยู่จำนวนมากในปัจจุบัน คำตอบอยู่ที่ปรัชญา “Craft” ซึ่งหมายถึงการเข้าไปดูแล ปรับปรุง และพัฒนาผู้ประกอบการแต่ละรายอย่างใส่ใจ เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างมีอัตลักษณ์และเอกลักษณ์เฉพาะตน โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็น “โซ่ข้อกลาง” ในการเชื่อมโยงผู้ประกอบการที่อาจผ่านโครงการอื่นมาแล้ว เช่น SpaceF หรือ FoodInnopolis แต่ยังต้องการการสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ Thai Kitchen จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อพยายาม “craft” หรือปั้นผู้ประกอบการอาหารของไทยให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น

โครงการนี้มุ่งเน้นผู้ประกอบการที่มี Traction แล้ว คือมีนวัตกรรมอาหารและยอดขายอยู่แล้ว แต่ยังคงมีคำถามหรือความไม่แน่ใจว่าจะเติบโตต่อไปในทิศทางใด Thai Kitchen จะเข้ามาช่วยดูแล (grooming) และสนับสนุนเงินทุน (granting) และถือเป็นโครงการ Accelerator แรกที่ NIA นำกลไกทั้งหมดที่มีมาใช้ ตั้งแต่การดูแล การให้ทุน การผลักดันเข้าสู่ช่วงการเติบโต (Growth Stage) และการนำพาไปสู่ตลาดโลก (Global Market)

หัวใจสำคัญคือ Thai Kitchen เปรียบเสมือนการสร้างเส้นทางเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการทั้ง 10 รายที่เข้าร่วมโครงการ โดยแต่ละรายจะมีเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน มีพี่เลี้ยง (mentor) วิธีการเติบโต เงินทุน การสร้างแบรนด์ และการใช้สื่อที่แตกต่างกัน เป็นการดูแลและพัฒนาผู้ประกอบการแต่ละรายแบบตัวต่อตัว (one-on-one crafting) ดังนั้น ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมจำเป็นต้องเปิดใจอย่างมาก เพื่อให้ทีมงานของ NIA สามารถเข้าไปช่วยเหลือและให้คำปรึกษาได้อย่างเต็มที่ เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดในการเติบโต เมื่อพบแล้ว การสนับสนุนด้านเงินทุน การปรับปรุงแบรนด์ (rebranding) และโอกาสในการเชื่อมโยงกับผู้ซื้อหรือตลาดที่แท้จริงก็จะตามมา เป้าหมายคือการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ เช่น จากเดิมที่สินค้า 1 กรัม อาจขายได้ 10 บาท ก็สามารถเพิ่มมูลค่าเป็น 1,000 หรือ 10,000 บาทได้

พลังของระบบนิเวศ กลไกสนับสนุนรอบด้านเพื่อการเติบโต

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA เสริมว่า นวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการเติบโตของผู้ประกอบการไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังจำเป็นต้องมีระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตด้วย การได้รับเพียงเงินทุน (Grant) อาจไม่เพียงพอ แต่สิ่งสำคัญคือการปรับรูปแบบธุรกิจให้สามารถเติบโตและขยายผลได้จริง รวมถึงการแสวงหาพันธมิตรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

NIA ได้พัฒนา Ecosystem ในการส่งเสริมนวัตกรรมของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับ:

  • ภาครัฐ: หน่วยงานพันธมิตร เช่น NIA, DEPA, สวทช. (NSTDA), BOI ซึ่งช่วยส่งเสริมทั้งในด้านองค์ความรู้ การให้เงินทุน และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ (incentives)
  • มหาวิทยาลัย: เป็นแหล่งของเทคโนโลยีหรืองานวิจัยและพัฒนา (R&D) โดย NIA ส่งเสริม “Open Innovation” และมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมากกว่า 50 แห่ง รวมถึงโครงการบ่มเพาะในมหาวิทยาลัยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (Regional Science Park)
  • ภาคเอกชน (Corporate): มีความสำคัญในการออกสู่ตลาด โดยเฉพาะในรูปแบบ B2B ซึ่งหลายบริษัทต้องการพันธมิตรทางธุรกิจ (corporate business partner) เพื่อช่วยเชื่อมต่อหรือสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ บริษัทอาหารขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศไทย เช่น ไทยยูเนี่ยน ไทยเบฟเวอเรจ ก็มีความร่วมมือกับ NIA เพื่อแสวงหาแหล่งธุรกิจใหม่ (New S-Curve) และ Startup/SME ที่มีโซลูชันสอดคล้องกัน
  • นักลงทุนและสถาบันการเงิน: สำหรับ Startup ที่ต้องการนักลงทุน หรือ SME ที่ต้องการเงินกู้ NIA มีกลไกในการส่งเสริมด้านนวัตกรรมซึ่งเป็นสินเชื่อแบบไม่มีดอกเบี้ย

ประเทศไทยมีความพร้อมด้านเกษตรและอาหาร มีห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ยาวมาก NIA จึงสร้างเครือข่ายความร่วมมือของผู้เล่นต่างๆ ใน Ecosystem นี้ โครงการ Thai Kitchen จะใช้ประโยชน์จาก Ecosystem นี้ในการวิเคราะห์กระบวนการเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี เงินทุน หรือตลาดใหม่ๆ การสนับสนุนจึงมีลักษณะที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละราย (Customized/Tailor-made) NIA มีเครือข่ายพันธมิตรในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ตลาดตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบียและกาตาร์ ซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจ รวมถึงพันธมิตรในฝั่งยุโรปเพื่อเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป (EU)

ปริวรรตสรุปว่า Thai Kitchen มุ่งหวังที่จะพัฒนาผู้ประกอบการหรือบริษัทให้สามารถเติบโตได้จริง โดยเข้าใจเป้าหมายที่แตกต่างกันของแต่ละราย และคาดหวังว่าผู้ประกอบการทั้ง 10 รายจะสามารถขยายธุรกิจ (scale) สู่ตลาดได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเน้นความสำคัญของนวัตกรรม (innovation) และตลาดโลก (global market)

โดยสรุป โครงการ Thai Kitchen 2025 จึงเป็นการผนึกกำลังของ NIA ผ่านวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ปรัชญาการ “Craft” ผู้ประกอบการอย่างเฉพาะเจาะจง และการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง เพื่อผลักดันธุรกิจอาหารไทยที่มีนวัตกรรมให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างมูลค่าเพิ่ม และแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก